การจัดฟันให้เรียงตัวเป็นระเบียบสวยงาม ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมความมั่นใจให้กับรอยยิ้มเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสุขภาพช่องปากให้แข็งแรง ซึ่งเป็นผลดีต่อการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิตประจำวันในระยะยาว

ปัจจุบันนี้ นวัตกรรมการจัดฟันได้มีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ใครหลายคนไม่มั่นใจว่า ควรจะเลือกการจัดฟันแบบไหนดีถึงจะตอบโจทย์ความต้องการได้มากที่สุด หากใครกำลังสงสัยเช่นเดียวกันนี้อยู่ ลองมาทำความเข้าใจทุกแง่มุมเกี่ยวกับการจัดฟันให้มากขึ้นในบทความนี้กัน

ทำไมถึงต้องจัดฟัน?

การจัดฟัน (Orthodontics) เป็นทันตกรรมเฉพาะทางในสาขาทันตกรรมเพื่อความงาม ซึ่งนอกจากจะมีจุดประสงค์เพื่อช่วยทำให้ฟันเรียงตัวสวยเป็นระเบียบเพื่อสร้างความมั่นใจแล้ว การจัดฟันยังเป็นหนึ่งในวิธีรักษาเพื่อเสริมสร้างสุขภาพช่องปากให้แข็งแรงขึ้น

ฟันที่เรียงตัวเป็นระเบียบในตำแหน่งที่เหมาะสมสามารถช่วยลดซอกมุมต่าง ๆ ภายในช่องปาก ทำให้สามารถทำความสะอาดเหงือกและฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสะสมของเชื้อโรคที่นำไปสู่กลิ่นปากและโรคร้ายในช่องปากอย่างเหงือกอักเสบ และ ฟันผุ

นอกจากนี้ การจัดฟันยังช่วยขยับฟันที่ขึ้นผิดรูปให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ส่งผลให้มีการสบฟันที่ดี เคี้ยวอาหารได้มีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยลดปัญหาฟันเกยและสบกันที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้อีกด้วย

การจัดฟันเหมาะกับปัญหาฟันแบบไหน?

การจัดฟันจะเป็นการรักษาที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฟันตาม 6 ลักษณะ ดังนี้

  • ผู้ที่มีปัญหาฟันยื่น เช่น ฟันบนยื่น ฟันล่างยื่น และฟันล่างคร่อมฟันบน โดยหากมีอาการรุนแรง ทันตแพทย์อาจแนะนำให้มีการผ่าตัดขากรรไกรร่วมด้วย
  • ผู้ที่มีปัญหาฟันสบเปิด หรือ ปัญหาที่ฟันหน้าและฟันล่างปิดกันไม่สนิทเมื่อทำการกัดฟัน
  • ผู้ที่มีฟันกัดคร่อม หรือ ปัญหาที่ฟันบนไม่สามารถสบ หรือ ขบกับฟันล่างได้พอดี ทำให้มีปัญหาในการเคี้ยวอาหาร
  • ผู้ที่ฟันกัดเบี้ยว หรือ ผู้ที่มีขากรรไกรเบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง
  • ผู้ที่มีฟันซ้อนเก ภาวะที่ฟันเรียงตัวไม่เป็นระเบียบ ทำให้มีซอกมุมระหว่างฟันจำนวนมาก
  • ผู้ที่มีฟันห่าง โดยหากมีระยะห่างระหว่างฟันตั้งแต่ 0.5 มิลลิเมตรขึ้นไปถือว่ามีภาวะฟันห่าง

หากสงสัยว่าควรจัดฟันแบบไหนดี สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจให้ดี คือ รายละเอียดและเงื่อนไขที่แตกต่างกันของการจัดฟันประเภทต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันนี้ การจัดฟันสามารถทำได้ 2 แบบหลัก ดังนี้

1. การจัดฟันแบบติดเครื่องมือ

การจัดฟันแบบติดเครื่องมือ จะเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ทันตแพทย์จะทำการติดเครื่องมือประเภทต่าง ๆ ภายในช่องปาก เพื่อช่วยให้ฟันเรียงตัวเป็นระเบียบมากขึ้น โดยการจัดฟันประเภทนี้จะไม่สามารถถอดเครื่องมือออกได้จนกว่าการรักษาจะเสร็จสิ้น ซึ่งจะประกอบไปด้วย 4 ประเภทหลัก ดังนี้

  1. การจัดฟันโลหะ
  2. การจัดฟันดามอน
  3. การจัดฟันด้านในแบบไม่เห็นเครื่องมือ ซึ่งจะเป็นการติ
  4. เครื่องมือด้านหลังฟันแทน
    การจัดฟันแบบเซรามิก

2. การจัดฟันแบบถอดเครื่องมือได้

การจัดฟันแบบถอดเครื่องมือได้จะเป็นการรักษาที่ทันตแพทย์จะวางแผนการรักษาและคำนวณผลลัพธ์ให้เห็นออกมาเป็นแบบสามมิติ จากนั้นทันตแพทย์จะทำการกำหนดระยะของฟันที่ต้องการให้เคลื่อนตัวแต่ละช่วงเวลา และสุดท้ายจึงค่อยออกแบบเครื่องมือสำหรับการรักษาที่เหมาะสมในแต่ละช่วง

หากได้ผลลัพธ์ที่ต้องการในแต่ละช่วงเวลาเมื่อไหร่ ทันตแพทย์ก็จะทำการเปลี่ยนเครื่องมือไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบแผนการรักษาทั้งหมด ซึ่งในปัจจุบันนี้ การจัดฟันแบบถอดเครื่องมือได้จะมีเพียงแค่ ‘การจัดฟันแบบใส’ หรือ ‘Invisalign’ อย่างเดียวเท่านั้น

เลือกวิธีจัดฟันอย่างไรให้เหมาะสมกับเรา?

ตามหลักแล้ว ทันตแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและเลือกวิธีการจัดฟันที่เหมาะสมกับความรุนแรงของปัญหา สภาพฟัน ไปจนถึงความต้องการของผู้เข้ารับการรักษา แต่สำหรับใครที่ต้องการประเมินและเลือกวิธีการรักษาเบื้องต้นด้วยตนเองก่อน ขอแนะนำให้ลองพิจารณา 5 เรื่องสำคัญ ดังนี้

1. ความรุนแรงของปัญหาฟัน

หากยิ่งปัญหาฟันมีความรุนแรงมากเท่าไหร่ ทันตแพทย์อาจลงความเห็นใช้วิธีการรักษาร่วมกันหลายวิธี ทำให้ใช้เวลาและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

2. ข้อจำกัดของปัญหาและร่างกายของเรา

การติดตั้งเครื่องมือทันตกรรมอาจต้องมีการเจาะเหงือก ถอนฟัน ไปจนถึงรักษาทันตกรรมรูปแบบต่าง ๆ ในระหว่างเคลียร์ช่องปาก ดังนั้น หากใครมีโรคประจำตัว หรือ มีโรคแทรกซ้อนภายในช่องปาก อย่าลืมปรึกษาแพทย์และทันตแพทย์ก่อนตัดสินใจจัดฟันด้วย

3. ความถี่ในการพบทันตแพทย์

การจัดฟันแบบติดเครื่องมือ จำเป็นที่จะต้องเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำเพื่อทำการตรวจเช็กเครื่องมือและเปลี่ยนอะไหล่บางชิ้น ซึ่งการไปพบทันตแพทย์ในแต่ละครั้ง ต้องใช้เวลาในการเดินทางและรอทันตแพทย์ ทำให้อาจมีค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางตามมา

4. งบประมาณในการรักษา

การจัดฟันเป็นการรักษาที่เห็นผลลัพธ์ในระยะยาว ซึ่งแต่ละวิธียังมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยการจัดฟันแบบไม่เห็นเครื่องมือ และ การจัดฟันแบบใส จะมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ทำให้ต้องวางแผนการเงินให้ดี

5. ความสะดวกในชีวิตประจำวัน

การจัดฟันเป็นการรักษาที่ต้องอาศัยวินัยและความอดทน ดังนั้น การเลือกวิธีจัดฟันจึงต้องคำนึงถึงความสะดวกในการใช้ชีวิตด้วย โดยการจัดฟันแบบติดเครื่องมืออาจสร้างแผลภายในช่องปากได้ อีกทั้งยังเป็นการโชว์เครื่องมืออยู่ตลอดเวลา จนทำให้ใครหลายคนอาจรู้สึกไม่มั่นใจ อย่างไรก็ดี การจัดฟันแบบใสจำเป็นที่ต้องใส่เครื่องมือให้ได้อย่างน้อย 22 ชั่วโมงต่อวัน อีกทั้งยังต้องทำรักษาความสะอาดเป็นอย่างดีเช่นกัน

จะเห็นได้ว่า นอกจากจะช่วยเสริมความมั่นใจแล้ว การจัดฟันยังเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพช่องปากได้ในระยะยาว ซึ่งจากรายละเอียดทั้งหมดที่นำมาฝากนี้อาจทำให้หลายคนหมดข้อสงสัยไปได้บ้าง ว่าควรเลือกจัดฟันแบบไหนดีถึงจะเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด

เริ่มต้นจัดฟันใสกับ ClearCorrect เพื่อสร้างรอยยิ้มที่มั่นใจ พร้อมกับสุขภาพช่องปากที่แข็งแรงไปกับนวัตกรรม ClearQuartz จากสหรัฐอเมริกา สร้างชีวิตที่มีคุณภาพตั้งแต่ตอนนี้ด้วยช่องปากที่สุขภาพดี สามารถประเมินการรักษา หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Line : @ClearCorrect (มี @ ด้วย)

Tags :
Share This :